พื้นฐานทางด้านปรัชญาการศึกษา
ปรัชญาสารัตถนิยมหรือสาระนิยม (essentialism) ถือว่าบุคคลเป็นส่วนหนึ่งของสังคม
และเป็นเครื่องมือของสังคม บุคคลต้องอุทิศตนเพื่อสังคม สะสมมรดกของสังคม
และสืบทอดวัฒนธรรมของสังคมให้คงอยู่ต่อไป
การจัดการศึกษาตามแนวคิดนี้จึงมีลักษณะเป็นการถ่ายทอด และอนุรักษ์วัฒนธรรมของสังคม
เนื้อหาวิชาที่นำมาสอนจะเป็นการเตรียมผู้เรียนให้มีชีวิตที่ดี เช่น การอ่าน
การเขียน เลขคณิต ประวัติศาสตร์วรรณคดี ปรัชญา ศาสนา เป็นต้น
ปรัชญานิรันตรนิยม (parennialism) ปรัชญานี้มีความเชื่อว่า
สิ่งที่มีความคงทนถาวร ย่อมเป็นสิ่งที่ดีงามเป็นจริงมากกว่าสิ่งที่เปลี่ยนแปลงได้
การจัดการศึกษาจึงควรให้เรียนในสิ่งที่ดีงาม มั่นคง มีเสถียรภาพ
เนื้อหาวิชาที่เรียนจะเป็นวิชาที่พัฒนาเชาวน์ปัญญาและจิตใจ เช่น วิทยาศาสตร์
ตรรกศาสตร์ ภาษาศาสตร์ วรรณคดี ไวทยากรศิลปะการพูด คณิตศาสตร์ ดาราศาสตร์ และดนตรี
ถือเป็นความสำคัญของมนุษย์และเตรียมตัวเพื่อการดำรงชีวิตการจัดการเรียนรู้ให้ผู้เรียนทุกคนเรียนเหมือนกันหมด
ปรัชญาพิพัฒนาการนิยม
หรือปรัชญาพิพัฒน์นิยม หรือปรัชญาวิวัฒนาการนิยม (progressivism) ปรัชญาการศึกษานี้ถือว่า
การศึกษาเป็นเครื่องมือของสังคมในการถ่ายทอดวัฒนธรรมแก่ชนรุ่นหลัง
มีความเชื่อว่าการศึกษาเป็นชีวิตมากกว่าเป็นการเตรียมตัวเพื่อชีวิต
และส่งเสริมวิธีการแบบประชาธิปไตย
การจัดการศึกษาตามแนวนี้จะมุ่งส่งเสริมพัฒนาการเด็กทุกด้าน เน้นการปฏิบัติจริง
และความสัมพันธ์กับสภาพจริง การจัดการเรียนรู้ยึด ผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง
ให้ผู้เรียนได้รับประสบการณ์ตรง กระบวนการจัดการเรียนรู้มีหลายลักษณะยึดหลักความสนใจของผู้เรียนที่จะแก้ปัญหาสังคมต่าง
ๆ วิธีการใช้มากคือ การทำโครงการ การอภิปรายกลุ่ม และการแก้ปัญหาเป็นรายบุคคล
ปรัชญาอัตนิยม หรือปรัชญาอัตถิภาวนิยม
หรือปรัชญาสวภาพนิยม(existentialism) ปรัชญานี้ มีความเชื่อว่า ธรรมชาติของคน สภาพแวดล้อมทางสังคมเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงได้
ทุกคนสามารถกำหนดชีวิตของตนเองจึงเน้น การอยู่เพื่อปัจจุบัน
การปรับตัวให้เข้ากับสภาพของสังคม เผชิญกับปัญหาต่าง ๆ
ได้อยู่อย่างมีความสุขการจัดการศึกษาจึงให้ ผู้เรียนมีอิสระในการเรียนรู้
การตัดสินใจ สอนให้เด็กเป็นตัวของตัวเอง มีเสรีภาพในการเรียน
และเลือกเรียนมีความรับผิดชอบในตนเอง ครูผู้สอนเป็นเพียงผู้ชี้แนะแนวทาง
การจัดการเรียนรู้เน้นพัฒนาการของผู้เรียนแต่ละคน
วิชาที่เรียนเป็นวิชาที่พัฒนาความสามารถของบุคคลเฉพาะ ลงไป เช่น ศิลปะ ปรัชญา
วรรณคดี การเขียน การละครเป็นต้น
ปรัชญาปฏิรูปนิยม(reconstructionism) ปรัชญานี้มีความเชื่อว่าการศึกษาควรจะเป็นเครื่องมือในการเปลี่ยนแลงสังคมโดยตรง
เน้นการจัดการศึกษาเพื่อสร้างสังคมให้ดี รู้จักการอยู่ร่วมกันในสังคม
ช่วยแก้ปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในสังคม ส่งเสริมความเป็นประชาธิปไตย
ดังนั้นผู้เรียนต้องหาประสบการณ์ด้วยตนเองให้มาก
การจัดหลักสูตรยึดอนาคตเป็นศูนย์กลาง มุ่งพัฒนาผู้เรียนให้มีความรู้
ความสามารถและทัศนคติที่จะออกไปปฏิรูปสังคมให้ดีขึ้น
เนื้อหาวิชาเน้นหนักในหมวดสังคมศึกษา ด้านพฤติกรรมศาสตร์ อิทธิพลของชุมชน
การจัดการเรียนรู้ ส่งเสริมให้ผู้เรียนสำรวจความสนใจและความต้องการของตนเอง
ใช้วิธีสอนแบบให้ผู้เรียนค้นคว้าหาความรู้ด้วยตนเอง เน้นการอภิปราย
การแสดงความคิดเห็นในเรื่องต่าง ๆ โดยเฉพาะเรื่องปัญหาของสังคม
พร้อมให้ข้อเสนอแนะในการปฏิรูปสังคมด้วย ตารางสอนจัดแบบยืดหยุ่น (flexible
schedule)
ปรัชญาการศึกษาที่กล่าวมา
จะเห็นว่าพื้นฐานทางด้านปรัชญามีความสำคัญต่อการพัฒนาหลักสูตรมาก
ดังนั้นการจะพัฒนาหลักสูตรไปในทิศทางใดย่อมขึ้นอยู่กับปรัชญาที่ยึดถือ
เพราะแนวคิดทางปรัชญาเป็นเครื่องช่วยกำหนดจุดหมาย หลักการ โครงสร้าง
และแนวปฏิบัติของหลักสูตรให้ชัดเจนขึ้น ดังนั้นนักพัฒนาหลักสูตรจะต้องมีความรู้ความเข้าใจในปรัชญาการศึกษาอย่างลึกซึ้ง
และสามารถนำไปใช้ได้อย่างเหมาะสมกับความต้องการ
ในปัจจุบันนี้การพัฒนาหลักสูตรมักเป็นการผสมผสาน ลักษณะของปรัชญาหลาย ๆ
ปรัชญาเข้าด้วยกันมิได้ร่างหลักสูตรขึ้นมาตามแนวปรัชญาใดปรัชญาหนึ่ง เนื่องจากแนวคิดของแต่ละปรัชญามีจุดเด่นที่แตกต่างกัน
ดังนั้นนักพัฒนาหลักสูตรจึงเลือกนำแนวคิดจากปรัชญา ต่าง ๆ
มาผสมผสานและเลือกใช้ตามความเหมาะสม เรียกว่า ปรัชญาการศึกษาผสมผสาน(electicism) เพื่อให้สามารถจัดการศึกษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ครอบคลุมหลาย ๆ
ด้านพัฒนาผู้เรียนให้สมบูรณ์และสมดุล และสอดคล้องกับความต้องการของสังคม
พื้นฐานทางด้านจิตวิทยา
ในการจัดทำหลักสูตรนั้น ต้องคำนึงอยู่เสมอว่าต้องพยายามจัดหลักสูตรให้สนองความต้องการและความสนใจของผู้เรียนอย่างแท้จริง
ด้วยการศึกษาข้อมูล พื้นฐานเกี่ยวกับตัวผู้เรียนว่าผู้เรียนเป็นใคร
มีความต้องการและความสนใจอะไร มีพฤติกรรมอย่างไร
ซึ่งเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับจิตวิทยาทั้งสิ้น
ดังนั้นข้อมูลพื้นฐานทางด้านจิตวิทยาจึงเป็นส่วนสำคัญที่นักพัฒนาหลักสูตรจะละเลยมิได้ในการนำมาวางรากฐานหลักสูตร
เช่น การกำหนดจุดมุ่งหมายหลักสูตร การกำหนดเนื้อหาวิชา และการจัดการเรียนรู้
เพื่อให้ได้หลักสูตรที่เหมาะสม
ที่สุดนักพัฒนาหลักสูตรจะต้องมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องของจิตวิทยา โดยเฉพาะ
จิตวิทยาพัฒนาการ (developmental
psychology) และจิตวิทยาการเรียนรู้ (psychology
of learning) ซึ่งจิตวิทยาทั้ง 2 สาขานี้จะเกี่ยวข้องกับการจัดทำหลักสูตรโดยตรง
นอกจากนี้ นักพัฒนาหลักสูตรยังให้ความสำคัญกับจิตวิทยาทั่วไป (generalpsychology)
ในส่วนที่เกี่ยวกับการส่งเสริมการเรียนรู้ของมนุษย์ด้วยเช่นกันจิตวิทยาพัฒนาการกับการพัฒนาหลักสูตร
จิตวิทยาพัฒนาการจะบอกถึงพัฒนาการของมนุษย์ทั้งด้านร่างกาย อารมณ์ สังคม
และเชาวน์ปัญญา ทำให้ทราบถึงความสามารถ ความสนใจ ความต้องการ เจตคติ
และศักยภาพด้านต่าง ๆ
ที่แตกต่างกันของผู้เรียนแต่ละคนองค์ประกอบของพัฒนาการของมนุษย์ มี 2 ประการคือ
1. วุฒิภาวะ (maturity)
หมายถึง กระบวนของความเจริญเติบโตสูงสุดของอินทรีย์ในร่างกายที่ทำให้เกิดความพร้อมที่จะทำกิจกรรมอย่างใดอย่างหนึ่งในขณะนั้นโดยไม่ต้องอาศัยการฝึกฝนหรือเรียนรู้ใด
ๆ หรือเป็นไปโดยธรรมชาติ
2. การเรียนรู้ (learning)
เป็นการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมอันเป็นผลมาจาก ประสบการณ์
การเรียนรู้อาจเกิดขึ้นด้วยการจูงใจ หรืออาจเกิดขึ้นโดยไม่ตั้งใจก็ได้
พื้นฐานทางด้านสังคมและวัฒนธรรม
บทบาทหน้าที่ที่สำคัญของการศึกษา คือการอนุรักษ์และถ่ายทอดวัฒนธรรมที่ดีงามและสังคมไปสู่คนรุ่นหลังและปรับปรุงเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมทางสังคมให้สอดคล้อง
ความเจริญก้าวหน้าทางวิทยากรด้านต่าง ๆ รวมทั้ง
สนองความต้องการและช่วยแก้ปัญหาสังคมในด้านต่าง ๆ ดังนั้นการศึกษา
จึงเป็นเครื่องมือในการควบคุมการเปลี่ยนแปลงของสังคมให้เป็นไปในทิศทางที่พึ่งปรารถนา
การพัฒนาหลักสูตรจึงต้องให้มีความสอดคล้องกับสภาพทางสังคมและวัฒนธรรมที่แปรเปลี่ยนได้อยู่เสมอ
จึงจะสามารถแก้ปัญหาและสนองความต้องการของสังคมได้อย่างมีประสิทธิภาพสังคมกับการพัฒนาหลักสูตรการศึกษาทำหน้าที่พัฒนาผู้เรียนซึ่งเป็นสมาชิกทางสังคมให้สามารถนำความรู้ความสามารถไปพัฒนาสังคมในการพัฒนาหลักสูตรจึงต้องเริ่มจากข้อมูลต่าง
ๆ ของสังคม แล้วจึงกำหนดปัญหาหรือสิ่งที่สังคมต้องการ จนกลายมาเป็นจุดมุ่งหมาย
เนื้อหาสาระและกิจกรรมต่าง ๆ บรรจุลงในหลักสูตร เพื่อใช้เป็นแนวทางในการจัดการศึกษาให้กับผู้เรียนได้อย่างถูกต้องเหมาะสมและมีคุณค่าต่อผู้เรียนและต่อสังคมอย่างแท้จริงหน้าที่ทางการศึกษาในส่วนที่เกี่ยวกับสังคม
ทำให้การศึกษาและสังคมมีความสัมพันธ์กันอย่างแยกไม่ออก
และเป็นความสัมพันธ์ที่มีลักษณะเป็นเหตุเป็นผลซึ่งกันและกัน หรือต่างฝ่ายต่างมีอิทธิพลต่อกัน
กล่าวคือเมื่อเกิดมีความเปลี่ยนแปลงหรือความต้องการใด ๆ
ขึ้นในสังคมการศึกษาก็ย่อมได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงนั้นคือต้องมีการเปลี่ยนแปลงหลักสูตรการศึกษาให้สนองความต้องการทางสังคม
ในทำนองเดียวกันเมื่อบุคคลในสังคมได้รับการอบรมจาก
การศึกษาหรือได้รับการศึกษาสูงขึ้นออกมาทำหน้าที่ต่างๆในสังคม
ก็ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นในสังคม เช่นเดียวกัน ดังนั้นในการพัฒนาหลักสูตรจะต้องพิจารณาว่าใช้หลักฐานกับคนในสังคมใดก็ต้องคำนึงถึงลักษณะของคนในสังคมนั้นว่าจะให้มีลักษณะแบบใด
ลักษณะใดที่ต้องการให้เกิดขึ้นและลักษณะใดไม่พึงประสงค์
แล้วกำหนดใช้ในหลักสูตรและแนวดำเนินการของหลักสูตร
วัฒนธรรมกับการพัฒนาหลักสูตร
สิ่งที่ประพฤติประพฤติในสังคมจนเป็นที่ยอมรับว่าดีงามจนกลายเป็นเอกลักษณ์ในสังคมคือวัฒนธรรม
คนในสังคมเดียวกันจะมีวัฒนธรรมที่เหมือนกัน วัฒนธรรมจึงเป็นสัญลักษณ์ที่บ่งบอกถึงความเป็นสังคมเดียวกัน
ชาติเดียวกันวัฒนธรรมสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตาม กาลเวลาด้วยเหตุปัจจัยต่าง ๆ เช่น
การเปลี่ยนแปลงด้านการปกครอง การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ กระแสโลกาภิวัฒน์
วิทยาการความเจริญก้าวหน้าต่าง ๆ เป็นต้น การศึกษาจึงทำหน้าที่ทำนุบำรุงรักษาและถ่ายทอดวัฒนธรรมเก่าที่ดีงาม
คัดสรรค์วัฒนธรรมใหม่ที่เข้ามาว่าวัฒนธรรมใดควรรับไว้
วัฒนธรรมใดควรปรับปรุงแก้ไข่ให้เหมาะสมกับสภาพของสังคม วัฒนธรรมใดควรสกัดกั้น
โดยการบรรจุวัฒนธรรมที่สังคมต้องการถ่ายทอดและสงวนรักษาไว้ในหลักสูตร
สกัดกั้นวัฒนธรรมที่ไม่พึงประสงค์ที่จะเข้ามาทำลายความเป็นเอกลักษณ์ของชาติของสังคม
ดังนั้นการพัฒนาหลักสูตรจึงต้องคำนึงถึงวัฒนธรรมประจำชาติ
ความเปลี่ยนแปลงของวัฒนธรรม
การยอมรับและปรับปรุงวัฒนธรรมในสังคมให้สอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นไปในทางที่เหมาะสมกับสังคม
นอกจากนี้ในการจัดการเรียนรู้ตามหลักสูตรจะต้องฝึกให้ผู้เรียนมีวิจารณญาณในการพิจารณาวัฒนธรรมต่าง
ๆ
ที่มีอยู่และที่กำลังหลั่งไหลเข้ามาในสังคมว่าดีหรือไม่ดีอย่างไรควรตัดสินใจรับไว้หรือไม่
รวมทั้งการสร้างภูมิต้านทานต่อวัฒนธรรมที่ไม่พึงประสงค์ให้เกิดขึ้นในตัวผู้เรียนด้วย
เพื่อตอบสนองความต้องการของสังคมและพัฒนาสังคมไปพร้อมกัน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น